ประกันวินาศภัย-ประกันชีวิต

ประเภทของประกันรถยนต์                                                                             

ประเภทของประกันที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ถูกจัดให้เป็นสากลทั่วโลก โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ประกันรถยนต์แบบบังคับ และ แบบสมัครใจ โดยมีความแตกต่างกัน

ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance)

คนไทยรู้จักกันในชื่อย่อคือ ประกันภัย พ.ร.บ. โดยที่รถยนต์ทุกคันจะต้องทำประกันนี้ โดยเป็นแบบบังคับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยประกันภัยตัวนี้จะให้ความคุ้มครองพื้นฐานและรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ต่อชีวิต ร่างกาย ของผู้ประสบภัยจากรถยนต์ หากเกิดอุบัติเหตุขณะใช้ยานพาหนะ พ.ร.บ. ก็จะคุ้มครองในส่วนค่ารักษาพยาบาลทั้งคนขับ ผู้โดยสาร และคู่กรณี

สำหรับค่าใช้จ่ายของประกัน พ.รบ. ถูกแบ่งออกเป็น 12 ประเภทราคา สำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์ [4]

ลำดับ ประเภทรถและขนาดเครื่องยนต์ การใช้รถยนต์
รหัส ส่วนบุคคล(บาท/ปี) รหัส รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ(บาท/ปี)
1. รถจักรยานยนต์ 1.30 2.30  3.30
1.1 ไม่เกิน 75 ซี.ซี. 150 150
1.2  เกิน 75 ซี.ซี.ไม่เกิน 125 ซี.ซี. 300 350
1.3 เกิน 125 ซี.ซี. ไม่เกิน 150 ซี.ซี. 400 400
1.4 เกิน 150 ซี.ซี. 600 600
2. รถสามล้อเครื่อง 1.70 2.70  3.70
2.1 ในเขต กทม. 720 1,440
2.2 นอกเขต กทม. 400 400
3. รถสกายแลป 1.71 400 2.71  3.71 400
4. รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน 1.10 600 2.10  3.10 1,900
5. รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ขนาดที่นั่ง 1.20 2.20  3.20
5.1 ไม่เกิน 15 ที่นั่ง 1,100 2,320
5.2 เกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง 2,050 3,480
5.3 เกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง 3,200 6,660
5.4 เกิน 40 ที่นั่ง 3,740 7,520
รถยนต์โดยสารหมวด 4
(วิ่งระหว่างอำเภอกับอำเภอในจังหวัด)
5.5 ไม่เกิน 15 ที่นั่ง 1,580
5.6 เกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง 2,260
5.7 เกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง 3,810
5.8 เกิน 40 ที่นั่ง 4,630
6. รถยนต์บรรทุก 1.40 2.40  3.40
6.1 น้ำหนัก ไม่เกิน 3 ตัน 900 1,760
6.2 น้ำหนัก เกิน 3 ตัน ไม่เกิน 6 ตัน 1,220 1,830
6.3 น้ำหนัก เกิน 6 ตัน ไม่เกิน 12 ตัน 1,310 1,980
6.4 น้ำหนัก เกิน 12 ตัน 1,700 2,530
7. รถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส หรือกรด 1.42 2.42  3.42
ขนานน้ำหนักรวม
7.1 ไม่เกิน 12 ตัน 1,680 1,980
7.2 เกิน 12 ตัน 2,320 3,060
8. หัวรถลากจูง 1.50 2,370 2.50  3.50 3,160
9. รถพ่วง 1.60 600 2.60  3.60   600
10. รถยนต์ป้ายแดง(การค้ารถยนต์) 4.01 1,530
11. รถยนต์ที่ใช้ในการเกษตร 4.06     90
12. รถยนต์ประเภทอื่นๆ 4.07   770

และมีการแบ่งอีก 3 ประเภทสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ลำดับ ประเภทรถและขนาดเครื่องยนต์ การใช้รถยนต์
รหัส ส่วนบุคคล(บาท/ปี) รหัส รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ(บาท/ปี)
1. รถจักรยานยนต์ 1.30E 300 2.30E  3.30E 350
2. รถสามล้อ 1.70E 500 2.70E  3.70E 1,440
3. รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน 1.10E 600 2.10E  3.20E 1,900

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance)

เป็นการทำประกันระหว่าง ผู้เอาประกันภัย กับ ผู้รับประกันภัย หรือบริษัทประกัน โดยสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองรูปแบบต่างๆได้โดยไม่มีการบังคับทางกฎหมาย โดยการรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกินจาก ประกันภัย พ.ร.บ.

ในปี 2564 ประกันรถยนต์แบบสมัครใจ ถูกแบ่งออกเป็น 5 ประเภท หลัก

  1. ประกันรถยนต์ ประเภท 1
  2. ประกันรถยนต์ ประเภท 2
  3. ประกันรถยนต์ ประเภท 3
  4. ประกันรถยนต์ ประเภท 4 (กรมธรรม์คุ้มครองต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก)
  5. ประกันรถยนต์ ประเภท 5 (ประกันรถยนต์คุ้มครองภัยเฉพาะ) มีอีกชื่อหนึ่งว่า 2 พลัส และ 3 พลัส

ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1

เป็นประกันภัยรถยนต์ที่มีเบี้ยราคาสูงที่สุด แต่ให้ความคุ้มครองมากที่สุดเมื่อเทียบกันกับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจประเภทอื่นๆ เหมาะกับรถยนต์ป้ายแดงหรือมือใหม่ที่เพิ่งหัดขับรถยนต์ โดยมีความคุ้มครองหลัก 3 ประการ

  • ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก มีจำนวนเงินเอาประกันภัยไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ต่อคน โดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นกับ ชีวิต และ ร่างกาย ของบุคคลภายนอก แต่ไม่ได้รับผิดในด้านกฎหมาย ที่ผู้ขับขี่อาจเป็นผู้กระทำผิด แม้ไม่ใช่ผู้ขับขี่ที่มีชื่ออยู่ในกรมธรรม์ก็ตาม นอกจากนี้ ความรับผิดครอบคลุมถึง ความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยและบุคคลภายนอก โดยค่าสินไหมจะไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ในสัญญาหรือกรมธรรม์
  • ความรับผิดเมื่อรถยนต์สูญหาย น้ำท่วม หรือ ไฟไหม้ การรับผิดชอบของบริษัทประกัน ที่ผู้เอาประกัน ได้ทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ไว้ จะครอบคลุมถึงการสูญหายของรถยนต์ รวมถึงเครื่องตกแต่ง อุปกรณ์ตกแต่ง ตามมาตรฐาน รวมถึงอุปกรณ์ที่ตกแต่งทำเพิ่มขึ้นด้วย แต่การรับผิดชอบต่อการสูญหายนั้นไม่รวมถึงการกระทำผิดฐานฉ้อโกง เพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ไฟไหม้ บริษัทประกันวินาศภัยจะชดใช้ ไม่ว่าจะเป็นการไหม้จากเหตุผลใดก็ตาม
  • ความเสียหายต่อรถยนต์ รวมถึงตัวรถยนต์ อุปกรณ์ ของตกแต่งรถ และ อุปกรณ์มาตรฐานที่ถูกติดตั้งมาจากโรงงาน หรือ ศูนย์จำหน่ายรถยนต์ อย่างไรก็ดี ของตกแต่งรถใหม่ที่เกิดขึ้น จะต้องมีการแจ้งบริษัทประกันให้ทราบก่อนจึงจะเป็นส่วนที่ทางบริษัทประกันรับผิดชอบค่าเสียหาย

โดยสรุปประกันรถยนต์ประเภท 1 คุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย และ คู่กรณี โดยรับผิดชอบแม้ไม่มีคู่กรณี รวมถึงการประกันตัวในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเหตุให้ถูกควบคุมตัวในคดี

ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2

ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ มีราคาใกล้เคียงกันกับประเภท 1 โดยมีความแตกต่างกันหลักที่ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ คือบริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าชดเชยหากไม่มีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะ เช่นการขับรถชนต้นไม้ เสาไฟฟ้า เป็นต้น ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 เหมาะกับผู้ที่มีความชำนาญในการขับขี่สูงและต้องการประหยัดเบี้ยประกันภัย

ประกันภัยรถนต์ ประเภท 3

มีราคาค่าเบี้ยประกันต่ำกว่า สองประเภทแรก ด้วยราคาที่ต่ำกว่าทำให้การคุ้มครองลดลง โดยจะไม่คุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย แต่จะคุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก และคู่กรณีเท่านั้น แต่สำหรับค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าสินไหมในกรณีเสียชีวิตจะมีการคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยและบุคคลภายนอกตามปกติ

ประกันรถยนต์ ประเภท 4

เป็นประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองต่อบุคคลภายนอกโดยเฉพาะ บริษัทประกันจะสามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับบุคคลภายนอกตามความเสียหายที่แท้จริง ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรือ ต่อครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีการใช้รถยนต์อยู่เป็นประจำ

ประกันรถยนต์ประเภท 5

ถูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ซึ่งครอบคลุมความเสียหายที่มีต่อร่างกาย ชีวิต และ อนามัยของบุคคลภายนอก หรือ รถยนต์ของคู่กรณี รวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เอาประกัน และยังคุ้มครองต่อการสูญหายและไฟไหม้อีกด้วย

ประกันรถยนต์ประเภท 5 แบบประกัน 2 พลัส (2+)

คล้ายกันกับประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2 โดยมีการเพิ่มความรับผิดต่อความเสียหายกับตัวรถที่เอาประกันภัยและที่ชนกับพาหนะทางบกเท่านั้น

ประกันรถยนต์ประเภท 5 แบบประกัน 3 พลัส (3+)

เช่นเดียวกันกับประกันแบบ 2 พลัส แต่ไม่คุ้มครองในกรณีไฟไหม้ และ สูญหาย

ตารางสรุปความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ

ประเภท/ความคุ้มครอง หมวดการความรับผิดต่อบุคคลภายนอก หมวดการคุ้มครองรถยนต์ สูญหาย ไฟไหม้ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อ รถยนต์
ความเสียหายต่อชีวิตร่างการ หรืออนามัย ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ประเภท 1
ประเภท 2
ประเภท 3
ประเภท 4
ประเภท 2+ เฉพาะรถยนต์
ประเภท 3+ เฉพาะรถยนต์

การประกันชีวิตมีกี่แบบ

ประกันชีวิตนั้นมีการพัฒนารูปแบบความคุ้มครองที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกันไป แต่หากแบ่งตามหมวดหลักๆ ของรูปแบบประกันชีวิตสัญญาหลักแล้วจะมีรูปแบบดังนี้

1. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)

เป็นความคุ้มครองชีวิตระยะยาว เช่น คุ้มครองผู้เอาประกันจนถึงอายุ 90 ปี หรือมากกว่านั้น โดยบริษัทประกันจะมอบเงินครบกำหนดสัญญาให้หากผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา หรือหากผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญาบริษัทประกันจะจ่าย “เงินเอาประกันภัย” ให้แก่ผู้รับประโยชน์ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคนในครอบครัว เช่น บุตร คู่สมรส หรือบิดามารดา เป็นต้น

2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)

เป็นแบบประกันที่มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนในระหว่างสัญญาหรือเมื่อครบกำหนดสัญญา พร้อมทั้งให้ความคุ้มครองชีวิตด้วยเช่นกัน โดยมากระยะเวลาความคุ้มครองจะไม่ยาวนัก เช่น 5 ปี 10 ปี 20 ปี แต่ก็มีที่คุ้มครองจนครบอายุ 60 ปี โดยผลตอบแทนที่จ่ายคืนผู้เอาประกันภัย ในกรณีมีชีวิตอยู่ มักจะมีกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะจ่ายเมื่อครบปีกรมธรรม์ที่เท่าไหร่บ้าง ซึ่งจะมีทั้งที่ “กำหนดจำนวนเงินที่แน่นอน” หรืออยู่ในลักษณะ “เงินปันผล” ที่จะแปรผันไปตามผลการลงทุนของบริษัทในขณะนั้น

3. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)

แบบประกันที่ให้ความคุ้มครองชีวิต โดยบริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้กับผู้รับผลประโยชน์ ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตเท่านั้น จะไม่จ่ายให้เมื่อผู้เอาประกันอยู่จนครบกำหนดสัญญา เป็นแบบประกันชีวิตที่มีค่าเบี้ยประกัน “ต่ำที่สุด” เมื่อเปรียบเทียบกับความคุ้มครองชีวิตที่ได้รับ มีระยะเวลาความคุ้มครองกำหนดไว้แน่นอน เช่น 5 ปี 10 ปี ฯลฯ มักจะทำไว้เพื่อเน้นความคุ้มครองชีวิต สร้างความอุ่นใจให้กับคนที่รัก รวมถึงเป็นการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว

4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance)

เพื่อเป็นการคุ้มครองรายได้หลังเกษียณเป็นหลัก โดยบริษัทประกันชีวิตจะเริ่มจ่ายเงินคืนตามกรมธรรม์ให้ตั้งแต่เมื่อครบอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี และจะมีการจ่ายต่อเนื่องเป็นงวดๆ ในช่วงหลังวัยเกษียณตามสัญญาไปจนกว่าจะครบกำหนด เช่นจ่ายเงินบำนาญเริ่มตั้งแต่อายุครบ 55 ปี ไปจนถึง 90 ปี เพื่อเป็นแหล่งรายได้หลังเกษียณที่แน่นอน เพราะการมีชีวิตอยู่ยาวนานโดยไม่มีรายได้เพียงพอก็นับเป็นความเสี่ยงเช่นกัน

5. ประกันชีวิตควบการลงทุน (Universal life and Unit-linked Insurance)

รูปแบบประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองชีวิต และเปิดโอกาสให้ผู้เอาประกันเลือกที่จะรับผลตอบแทนจากการทำประกันที่มากขึ้น โดยการนำเบี้ยประกันที่จ่ายไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น

ประกันชีวิตแบบ Universal life: ผู้เอาประกันสามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินคุ้มครองชีวิต และจำนวนเงินส่วนที่นำไปลงทุนได้ แต่ไม่สามารถเลือกแผนการลงทุนเองได้ ซึ่งบริษัทประกันจะรับรองผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ให้ แต่หากผลการลงทุนได้สูงกว่าที่รับรอง ผู้เอาประกันก็จะได้รับมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ประกันชีวิตแบบ Unit-linked: นอกจากความคุ้มครองชีวิตแล้ว ผู้เอาประกันสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ ได้ตามที่บริษัทได้กำหนด โดยบริษัทประกันจะไม่รับรองผลตอบแทนขั้นต่ำให้ ดังนั้นผู้เอาประกันจะเป็นผู้รับความเสี่ยงจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมไว้เอง แต่ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน

ประเภทของประกันชีวิตมีหลากหลายแบบ ดังนั้นควรทำความเข้าใจ และเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด เพื่อได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า หรือศึกษาเพิ่มเติม ประกันชีวิตแต่ละแบบเหมาะกับใคร?

You missed